www.pikpod.com
คิดว่า หลายคนก็คงจะสงสัยว่า ชื่อเว็บ PikPod มีที่มาอย่างไร แปลว่า อะไร เป็นภาษาอะไร วันนี้จะมาบอกให้ฟังคับ
เริ่มแรกที่จะทำเว็บนี้นั้น สิ่งที่ยากที่สุด สำหรับการทำเว็บก็คือ การได้ชื่อที่ดี ที่เรียกง่าย จำง่าย สะกดง่าย ไม่ยาวเกินไป ไม่มีขีดคั่น ไม่มีใครมีใกล้เคียง และที่สำคัญ ต้องเป็น .com ด้วย เชื่อหรือไม่ ผมคิดชื่อออกมาประมาณ 100 กว่าชื่อ แต่มีจดหมดแล้ว เพราะจดง่าย และเป็นภาษาอังกฤษ มันจดกันทั่วโลก บางคนก็จดไว้ก่อน แต่ยังไม่ใช้ บางคนก็จดแล้ว เอามาเก็งกำไรก็มี จะจดเป็นชื่อภาษาไทย ก็ไม่เอา เพราะเราเน้นเพลงสากล (เผื่อโกอินเตอร์กะเขาบ้าง) ก็เลยหาไม่ได้สักที จนเกือบจะหมดกำลังใจซะแล้ว ตอนแรกว่า จะไม่ทำละ
แต่มาเจอเว็บนึง เขียนถึงเรื่องชื่อเว็บของเว็บ 2.0 ที่นำคำมาผสมบ้าง มาลดตัวอักษรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น del.icio.us, digg, flickr, youtube, imeem หรือแม้กระทั่ง google ที่ไม่มีความหมายอะไร ตอนแรก google จดผิดด้วยซ้ำ ตอนแรกจะจดว่า googel แต่ดันจดผิด สลับกันระหว่าง L กับ E กลายเป็นรวยไปเลย
ผมก็เลยไปเดินเล่น เวลาถ้าใครคิดอะไรไม่ออกนะ ให้ไปเดินเล่น มองอะไรที่อื่น อย่าอยู่กับที่ มันจะคิดไม่ออก ผมก็ไปเจอร้าน apple ในห้าง ซึ่ง ณ เวลานั้น เป็นเวลาของ ipod ฟีเวอร์ ไม่มีใครไม่รู้จัก มันเป็นเครื่องเล่น mp3 ที่มาถล่ม sony walkman โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อว่า ไอพอด (แต่ไม่มีไม่เป็นไร เพราะผมก็ไม่มี) ก็เลยเกิดความคิดว่า น่าจะเกาะกระแสไอพอดได้นะ เพราะเราก็เปิดเพลงสากลเหมือนกัน แบบว่า ไอพอดเป็นเครื่องเล่น mp3 ส่วน pikpod ก็เป็นเว็บที่เล่นเพลงให้ฟัง เพราะเราไม่ใช่วิทยุ เราไม่มีดีเจ เราเป็นมากกว่านั้น ก็เลยมานั่งคิด แล้วเราจะเอาคำอะไรไปผสมกับ ipod ดี ก็เลยเอาชื่อเล่นตัวเอง คือ K แต่ถ้าเป็น kpod ก็ไม่ค่อยเพราะ kipod ก็ไม่เพราะอยู่ดี ก็เลยเอาคำว่า พี่เค ซึ่งก็คือ P' K มาผสมเข้าไป เป็น
P K + IPOD = PIKPOD
ปรากฏว่า ไม่มีใครจด วันนั้นเลยเลี้ยงฉลองใหญ่ ประหนึ่งว่า ได้รับโบนัสทั้งปี มันนับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จเลยก็ว่าได้ แต่ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า คนเห็นก็คงจะเรียกว่า พิคพอด แต่บังเอิญ มีน้องคนนึง เขาเห็นแล้วเรียกว่า ปิ๊คป๊อด ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็น ปิ๊คป๊อด อีกหน่อยก็คงได้เปิดเพลงอีสานกันซะงั้น - -"
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคับ
23/9/51
www.pikpod.com
เมื่อวานก็เกริ่นเรื่อง การสมัครใช้งาน CJ และก็สมัครใช้งาน Blogger คราวนี้เราก็จะมาพูดถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินในโลกอินเตอร์เน็ต อีกวิธีนึง ซึ่งหากเราไม่มี บัตรเครดิต ไม่ต้องกลัว เพราะวันนี้เรามีทางแก้แล้ว อีกอย่าง ยังปลอดภัยกว่าการใช้บัตรเครดิตอีกด้วย เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปใส่รหัสบัตรเครดิต รับรองไม่ต้องกลัว hacker โขมยรหัสไปแน่นอน ซึ่งวิธีนั้นก็คือ การทำ e web card ของธนาคาร กสิกรไทย นั่นเอง มันเป็นการพัฒนามาจากระบบ paypal ซึ่งวันหลังผมจะมาอธิบายให้ฟัง ว่าคืออะไร แต่วันนี้เรามาดูวิธีนี้กันก่อน เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้ทำการค้า หรือซื้อของในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย
อย่างแรกเลย จะต้องไปเปิดบัญชีออมทรัพย์กับทางธนาคารซะก่อน เปิดในนามบุคคลธรรมดาเท่านั้น และทำการสมัคร K-Cyber Banking ไปด้วยกันเลย ซึ่งพนักงาน ก็จะให้เรากรอกรายละเอียดต่างๆไป แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้ บัตรเอทีเอ็ม ก็ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะเราใช้ในโลกไซเบอร์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ ATM เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ก็ให้เรารอเมลตอบกลับมาของทางธนาคาร
1. ได้รับเมลตอบกลับมา บอกรหัสผ่าน (PIN1) ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อความปลอดภัยอีกขั้นนึง จากนั้นกดไปที่ link ที่ให้มาเลย

2. จะเข้ามาหน้าของธนาคาร ให้เราไปเลือกในช่องซ้ายให้เป็นคำว่า บริการออนไลน์

3. จะมีกรอบหน้าต่างขึ้นมา ให้เรากรอก รหัสผู้ใช้งาน ซึ่งก็คือ เลขที่บัญชีที่เราเปิด ส่วนรหัสก็คือ รหัส PIN1 นั่นเอง

4. รหัส PIN1 ในเมล

5. จากนั้น จะมาหน้าที่ให้เราอ่านเงื่อนไขต่างๆ ให้เรากดยอมรับ

6. จากนั้น ให้กรอกรายละเอียดต่างๆ โดยให้เราเปลี่ยน ชื่อและพาสเวิสด์ ได้เป็นของตนเอง หรือชื่อและรหัสที่เราจำได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้ เลขที่บัญชี และรหัส pin อีกต่อไป

7. ให้ใส่ที่อยู่ โทรศัพท์ลงไป

8. อ่อ เลือกผู้ให้บริการมือถือของเราด้วย เพราะว่า มันจะมีฟังก์ชั่น การส่งรหัสมาที่มือถือเรา

9. อันนี้แนะนำให้เลือกแบบแรก คือ แบบ OTP คือเมื่อเราจะใช้ในการจ่ายเงินในอินเตอร์เน็ต มันจะแจ้งรหัสมาให้ทางมือถือของแต่ละครั้ง ทำให้เราไม่ต้องจำรหัส และข้อดีของมันก็คือ รหัส แต่ละครั้งจะไม่ซ้ำกัน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่า ใครจะขโมยรหัสเราไป

10. กด ต่อไป

11. มันจะมาหน้าแสดงรายละเอียดการใช้จ่ายเงิน ไม่ว่า จะเป็นเงินเข้าหรือเงินออก เปรียบเสมือนกับเราไปอัพเดทบุ๊คเลย

12. จากนั้นให้เราไปที่เมนู k-web shopping card เลือกไปที่ สมัครใช้บริการ ทางด้านขวาให้เราเลือกว่าเราจะผูกไว้กับบัญชีใด และตั้งวงเงินไว้ที่เท่าไหร่

13. คลิ๊ก ยอมรับ

14. ถ้าหากก่อนหน้านี้ ใครเลือกแบบ PIN 2 ก็จะเจอหน้านี้ ซึ่งให้ใส่ PIN2 ด้วย เพื่อความปลอดภัยอีกขั้นนึง

15. เป็นอันเสร็จสิ้นการทำรายการ e web card

ต่อไป ก็แค่รอทางธนาคารส่งเมลกลับมาเพื่อให้รายละเอียดของเลขที่บัตร รหัส CVV เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมในโลกอินเตอร์เน็ตได้ต่อไป ตอนนี้ยังไม่มีรูป เพราะเพิ่งสมัครเสร็จเมื่อวานเอง กำลังรออยู่เหมือนกัน ถ้าได้แล้วจะเอามาให้ดูกัน ที่ให้เพื่อนๆ สมัครต่างๆนั้น เพราะว่า มันจะมีความสัมพันธ์กัน ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้วิธีไหนในการหาเงินเท่านั้นเอง (แล้วแต่สไตล์ และการมองเห็นโอกาสของแต่ละคน)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคับ
เมื่อวานก็เกริ่นเรื่อง การสมัครใช้งาน CJ และก็สมัครใช้งาน Blogger คราวนี้เราก็จะมาพูดถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินในโลกอินเตอร์เน็ต อีกวิธีนึง ซึ่งหากเราไม่มี บัตรเครดิต ไม่ต้องกลัว เพราะวันนี้เรามีทางแก้แล้ว อีกอย่าง ยังปลอดภัยกว่าการใช้บัตรเครดิตอีกด้วย เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปใส่รหัสบัตรเครดิต รับรองไม่ต้องกลัว hacker โขมยรหัสไปแน่นอน ซึ่งวิธีนั้นก็คือ การทำ e web card ของธนาคาร กสิกรไทย นั่นเอง มันเป็นการพัฒนามาจากระบบ paypal ซึ่งวันหลังผมจะมาอธิบายให้ฟัง ว่าคืออะไร แต่วันนี้เรามาดูวิธีนี้กันก่อน เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้ทำการค้า หรือซื้อของในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย
อย่างแรกเลย จะต้องไปเปิดบัญชีออมทรัพย์กับทางธนาคารซะก่อน เปิดในนามบุคคลธรรมดาเท่านั้น และทำการสมัคร K-Cyber Banking ไปด้วยกันเลย ซึ่งพนักงาน ก็จะให้เรากรอกรายละเอียดต่างๆไป แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้ บัตรเอทีเอ็ม ก็ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะเราใช้ในโลกไซเบอร์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ ATM เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ก็ให้เรารอเมลตอบกลับมาของทางธนาคาร
1. ได้รับเมลตอบกลับมา บอกรหัสผ่าน (PIN1) ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อความปลอดภัยอีกขั้นนึง จากนั้นกดไปที่ link ที่ให้มาเลย

2. จะเข้ามาหน้าของธนาคาร ให้เราไปเลือกในช่องซ้ายให้เป็นคำว่า บริการออนไลน์

3. จะมีกรอบหน้าต่างขึ้นมา ให้เรากรอก รหัสผู้ใช้งาน ซึ่งก็คือ เลขที่บัญชีที่เราเปิด ส่วนรหัสก็คือ รหัส PIN1 นั่นเอง

4. รหัส PIN1 ในเมล

5. จากนั้น จะมาหน้าที่ให้เราอ่านเงื่อนไขต่างๆ ให้เรากดยอมรับ

6. จากนั้น ให้กรอกรายละเอียดต่างๆ โดยให้เราเปลี่ยน ชื่อและพาสเวิสด์ ได้เป็นของตนเอง หรือชื่อและรหัสที่เราจำได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้ เลขที่บัญชี และรหัส pin อีกต่อไป

7. ให้ใส่ที่อยู่ โทรศัพท์ลงไป

8. อ่อ เลือกผู้ให้บริการมือถือของเราด้วย เพราะว่า มันจะมีฟังก์ชั่น การส่งรหัสมาที่มือถือเรา

9. อันนี้แนะนำให้เลือกแบบแรก คือ แบบ OTP คือเมื่อเราจะใช้ในการจ่ายเงินในอินเตอร์เน็ต มันจะแจ้งรหัสมาให้ทางมือถือของแต่ละครั้ง ทำให้เราไม่ต้องจำรหัส และข้อดีของมันก็คือ รหัส แต่ละครั้งจะไม่ซ้ำกัน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่า ใครจะขโมยรหัสเราไป

10. กด ต่อไป

11. มันจะมาหน้าแสดงรายละเอียดการใช้จ่ายเงิน ไม่ว่า จะเป็นเงินเข้าหรือเงินออก เปรียบเสมือนกับเราไปอัพเดทบุ๊คเลย

12. จากนั้นให้เราไปที่เมนู k-web shopping card เลือกไปที่ สมัครใช้บริการ ทางด้านขวาให้เราเลือกว่าเราจะผูกไว้กับบัญชีใด และตั้งวงเงินไว้ที่เท่าไหร่

13. คลิ๊ก ยอมรับ

14. ถ้าหากก่อนหน้านี้ ใครเลือกแบบ PIN 2 ก็จะเจอหน้านี้ ซึ่งให้ใส่ PIN2 ด้วย เพื่อความปลอดภัยอีกขั้นนึง

15. เป็นอันเสร็จสิ้นการทำรายการ e web card

ต่อไป ก็แค่รอทางธนาคารส่งเมลกลับมาเพื่อให้รายละเอียดของเลขที่บัตร รหัส CVV เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมในโลกอินเตอร์เน็ตได้ต่อไป ตอนนี้ยังไม่มีรูป เพราะเพิ่งสมัครเสร็จเมื่อวานเอง กำลังรออยู่เหมือนกัน ถ้าได้แล้วจะเอามาให้ดูกัน ที่ให้เพื่อนๆ สมัครต่างๆนั้น เพราะว่า มันจะมีความสัมพันธ์กัน ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้วิธีไหนในการหาเงินเท่านั้นเอง (แล้วแต่สไตล์ และการมองเห็นโอกาสของแต่ละคน)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)